น่าน เป็นจังหวัดที่มีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีเขตจังหวัดติดกับประเทศลาวทำให้มีด่านเข้าออกกับประเทศลาวหลายแห่ง สามารถเข้าออกไปต่างประเทศง่ายนิดเดียว ^^
การท่องเที่ยวจังหวัดนี้มี อุทยานแห่งชาติที่มีถึง 7 แห่ง
– อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
– อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
– อุทยานแห่งชาติแม่จริม
– อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน
– อุทยานแห่งชาตินันทบุรี
– อุทยานแห่งชาติขุนสถาน
– อุทยานแห่งชาติขุนน่าน
ทำให้มีหลากหลายรูปแบบในการท่องเที่ยว ทั้งภูเขาที่ให้ขึ้นไปพักและสัมผัสอากาศหนาวเย็น มีน้ำตกมากมายเป็นสถานที่พักผ่อนในหน้าร้อน หรือแนวผจญภัยด้วยการล่องแก่งในสายน้ำชื่อดังเช่น แก่งน้ำว้า และยังเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาตร์ที่เก่าแก่และยาวนาน ทำให้มีวัดมากมาย ที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของพระธาตุแช่แห้งที่เป็นพระธาตุประจำปีเกิด “ปีเถาะ” หรือ “กระต่าย” ที่คนเกิดปีนี้ควรมากราบไหว้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ในการไปเยือนน่านในครั้งนี้ ผมเที่ยวได้น้อยมากจากแผน ที่ได้วางไว้ ข้ามไปหลายๆที่ต้องขออภัย ถ้ามีโอกาสไปอีกครั้งจะนำมาเขียนเพื่อประกอบการตัดสินใจของคนที่ได้มาอ่านนะครับ งั้นไปดูจุดที่ผมอยากนำเสนอ หลักๆกันเลย
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)
วันนี้เป็นทางผ่าน อยู่ในจังหวัด พิษณุโลก ผมอยากแนะนำให้แวะหากใครมีโอกาสได้ผ่านจังหวัดนี้ เพราะเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย (ต้องขออภัยรูปอาจน้อยไปหน่อยเพราะการเดินทางผิดแผน ทำให้ไปช้า บางจุดได้ปิดไปแล้ว ไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ )
วนอุทยานแพะเมืองผี
ก่อนที่จะเข้าน่าน มีสถานที่หนึ่งที่ผมอยากแนะนำ “แพะเมืองผี” ตั้งอยู่ในจังหวัดแพร่ สภาพภูมิประเทศเป็นหินทราย ถูกกัดเซาะเป็นรูปร่างต่างๆ กำเนิดโดยธรรมชาติ มีเนื้อที่ 167 ไร่ และมีเส้นทางสำหรับศึกษาธรรมชาติ
และที่ผมอยากแนะนำให้ลองไปเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ เพราะกาลเวลาจะทำให้ความสวยงามของที่นี้ค่อยๆเสื่อมสลายลง เนื่องจากปฎิมากรรมจากธรรมชาติเหล่านี้ จะค่อยๆถูกน้ำ ลม และสภาพอากาศของแต่ละฤดู ค่อยๆทำให้ภูเขาหินทรายค่อยๆพังลงในแต่ละจุด ความสวยงามของที่นี้ก็จะค่อยๆ เลือนหายไป
ถ้ำผานางคอย
ใกล้ๆแพะเมืองผี จะมีถ้ำที่น่าสนใจไม่แพ้กันอยู่ภายในจังหวัดแพร่เช่นกัน เขาเรียกกันว่า “ถ้ำผานางคอย” เป็นภูเขาหินปูน ซึ่งมีถ้ำอยู่ ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก และได้มีการประดับไฟเพื่อให้ได้เห็นความสวยงามของถ้ำมากขึ้น เป็นประติมากรรมธรรมชาติโดยแท้ และจุดเด่นของถ้ำนี้มีหินที่มีรูปร่างคล้ายผู้หญิงกำลังอุ้มลูก ทำให้มีนิทานพื้นบ้านเล่าขานว่า
จากหยดหินก่อให้เกิดรูปทรงผู้หญิงกำลังโอบอุ้มลูกน้อย รอคอยการกลับมาของชายอันเป็นที่รักของเธอ โดดเด่นอยู่ที่ลานกลางถ้ำ เป็นที่มาของชื่อ ถ้ำผานางคอย ตำนานรักยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่อรัญญาณี หญิงสาวสูงศักดิ์ กับชายอันเป็นที่รัก เมื่อ 800 ปีที่แล้วสมัยอาณาจักรแสนหวี องค์หญิงอรัญญาณีผู้สูงศักดิ์ รักกับคะนองเดช หัวหน้าฝีพาย จนองค์หญิงอรัญญาณีตั้งครรภ์ แล้วหนีมาด้วยกัน จนถึงกลางป่าถูกทหารตามล่ามาอย่างกระชั้นชิด ทหารยิงคะนองเดชแต่พลาด ถูกกลางอุระองค์หญิงอรัญญาณี ทั้งสองหลบเข้ามาอยู่ในถ้ำและประสูติพระโอรส องค์หญิงอรัญญาณีได้ให้ชายที่รักหนีไป และพูดว่า “หญิงจะรออยู่ที่นี่ ชั่วกัลปาวสาน” แรงอธิษฐานดังกล่าวทำให้นางกลายเป็นหิน มือโอบพระโอรสไว้บนตัก เป็นที่มาของชื่อถ้ำผานางคอย
อ้างอิงจาก : http://www.phrae.go.th/tem/tip/nature_phrae/nature2.html
บ่อเกลือ (น่าน)
เป็นบ่อเกลือโบราณที่ใช้กันมานานจนถึงปัจจุบัน มีการให้ดูวิธีการต้มเพื่อให้ได้เกลือมาเป็นวัตถุดิบต่างๆ ใกล้เคียงกันมีร้านกาแฟอร่อยตกแต่งสไตล์โบราณ กับมีร้านของฝากผลิตภัณฑ์จากเกลือแปรรูปหลายแบบ หมู่บ้านนี้ให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิตชาวบ้านยุคเก่าชาวเหนือ ร่มรื่นเย็นสบาย นั่งแล้วรู้สึกตัวเองเป็นหอยทาก ไม่อยากลุกเดินต่อ ชิวอย่างที่สุด
และที่สำคัญการเดินทางไปกลับของบ่อเกลือ นี้ค่อนข้างคดเคี้ยวขึ้นลงเขา ผมขอเรียกว่าถนน ชี้วัดความแข็งแกร่ง เพราะเมื่อไปถึงจุดชมวิม มีผู้พ่ายแพ้หลายคน เวียนหัวเมารถหมดสภาพกัน “ช่างน่าสงสารรรร” ใครถึงจุดในภาพนี้แล้วยังยืนหยัดอยู่ได้แสดงว่าท่านคือผู้แข็งแกร่ง ฮ่าๆ
พระธาตุแช่แห้ง
พระธาตุแช่แห้ง สันนิษฐานว่ามี อายุราว 666 ปี เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดน่าน และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิด “ปีเถาะ” หรือ “กระต่าย” องค์พระธาตุมีความสูง 55.5 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 22.5 เมตร บุด้วยทอง เหลืองหมดทั้งองค์ เป็นโบราณสถาน ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของล้านนา
วันที่ผมไปเป็นวันที่เขากำลังเริ่มตกแต่งในงานวันปีใหม่ มีประดับโคมไฟสวยงาม
ม่อนเคียงดาว
ในที่สุดก็มาถึงจุดไฮไลน์ของทริปนี้ “ม่อนเคียงดาว” ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่เที่ยวเพื่อรับความหนาวเย็นของภูเขา อากาศหนาวมากกก ลมแรง การเดินทางเข้าไปค่อนข้างลำบากนิดหน่อย ที่พักจะเลยจุดกางเต้นท์ของส่วนอุทยาน (ไม่ต้องขึ้นไปที่จุดกางเต้นท์นะครับ กลับรถลำบาก) สองข้างทางเป็นภูเขาสลับกับเหว ตลอดทางจะมีที่พักหลายแห่ง ตรวจสภาพรถให้ดีก่อนเดินทางมาที่นี่ด้วยนะครับ
คำศัพท์วันนี้ “ม่อน” หมายถึง ยอดเขา, เนินเขา มั๊งงง….
เมื่อท่านไปถึงจะพบความสวยงามของวิวทิวทัศน์ของภูเขา และสัมผัสถึงความหนาวเย็น อากาศไม่เท่าไหร่แต่ลมแรงมาก ทำให้ทวีความหนาว สำหรับที่พักที่นี่มีแบบบ้านไม้ไผ่มีห้องน้ำด้วย แต่อย่าหวังจะจองได้เลย มีอยู่หลังเดียวมั๊งที่เห็น ขนาดจองเต้นท์ยังยากเลยแต่เรามาเที่ยวแบบนี้ก็ต้องเต้นท์เท่านั่น จะได้สัมผัสบรรยากาศให้ถึงที่สุด เต้นท์ก็นับว่าดีเลยหละ สำหรับผม ผมจองเป็นกระโจม นอนได้ 3 คน ก็ค่อนข้างใหญ่และสะอาด ปัญหาคือห้องน้ำ จะเป็นห้องน้ำรวม แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าดึกๆปวดเข้าห้องน้ำทำไง ห้องน้ำจะเต็มไหม เพราะว่าผมไปเข้าห้องน้ำทีไรว่างทุกที แต่จะเห็นเงาตะคุ่มๆ จากบางกระโจมแอบทำอะไรใต้กระโจมก็ไม่รู้ 555 (ที่นี่มีน้ำให้อาบตลอดถ้าท่านชอบอาบน้ำมีฝักบัวให้ด้วย)
ถ้าขี้เกียจเตรียมอาหาร เรื่องอาหารก็สั่งที่นี้ได้ อาจจะแพงกว่าข้างล่างสักหน่อย แต่ก็เป็นเหมือนที่เที่ยวอื่นๆ มีพวกหมูกระทะ เมี่ยงปลา และอื่นๆ ถ้าจะให้ดีก็เตรียมมาให้พร้อมจากข้างล่างก็ได้ครับ เพราะที่นี่เขาให้จอดรถตรงที่เราพักได้เลย เอาของขึ้นลงสะดวก
ถ้าให้แนะนำ ผมแนะนำให้สั่งหมูกระทะเขา เพราะเวลาดึกๆ เราออกมานอนดูดาว สามารถผิงไฟช่วยบรรเทาอากาศหนาวได้เยอะเลย
มีไฟฟ้าเปิดให้จนถึง 4 ทุ่ม กลางดึกหลัง 4 ทุ่มถ้าท่านแข็งแกร่งพอ ออกมานอกเต้นท์ จะพบกับดวงดาวมากมาย ที่เห็นได้ชัดมาก ถ้าแข็งแกร่งถึงขั้นสุด ลองเดินขึ้นไปจุดชมวิว จะพบกับ… “ความทรมาณณณณณ ถึงขีดสุดของความหนาว” ดาวจะสวยหรือไม่สวยไม่รู้ไม่ทันเห็น ผมขึ้นไปแป๊บเดียวรีบลงมาขอถ่ายรูปหน้าเต้นท์พอแหละ
ข้อแนะนำ : ให้ซื้ออาหารมาตั้งแต่ในเมืองอย่าคิดว่าค่อยกลับไปซื้อ เพราะถ้าไปถึงแล้วท่านจะไม่อยากกลับลงมา ไม่ใช่เพราะสวย แต่เพราะมันลำบากมากหากจะขับรถย้อนกลับออกมาซื้อของ แถมถ้าเป็นตอนกลางคืน ลำบากแน่ๆ และเอาถุงมือและถุงเท้ามาด้วย แนะนำด้วยความหวังดี ^^
ทริปที่ผมไปเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคม ในกรุงเทพฯยังร้อนๆอยู่แต่ไม่ใช่สำหรับที่นี่ หนาวมากหนาวจนแสบถ้าใส่เสื้อไม่หนาพอ ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปสัมผัสความหนาวของที่นี่